Monday, August 31, 2015

สรุป "บันทึกลับเซียนหุ้น" + ชีวิตส่วนตัวของลิเวอร์มอร์

บันทึกลับเซียนหุ้น "บันทึกลับเซียนหุ้น" ผมขอเรียกว่า "บันทึกการเทรดของลิเวอร์มอร์" เพราะในเล่มนี้จะไม่มีการพูดถึงเรื่องส่วนตัวเลย เน้นเรื่องการเทรดล้วนๆ
คนอ่านจะได้เรียนรู้วิธีคิด มุมมอง พัฒนาการของวิธีเทรด ที่มีทั้งกำไรและหมดตัว เราจะรู้ว่าอะไรทำให้เขาชนะและที่แพ้จนหมดตัวเพราะอะไร
ผมมองว่านี่เป็นกรณีศึกษาที่ดีมากสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เหมือนกับที่เขาว่า "ชีวิตคุณไม่ได้ยืนยาวมากพอที่จะทำผิดพลาดได้ทุกอย่างหรอก จงเรียนรู้จากคนอื่นให้มากที่สุด"
ด้วยความที่เป็นหนังสือที่เล่มหนามาก แต่อ่านสนุก เพราะมีเกร็ด คำคม ทริกการเทรดแทรกอยู่มากมาย ผมอ่านและจดบันทึกไปด้วยเพราะไม่อยากให้ตัวเองพลาดสิ่งดีๆที่มีในเล่มนี้ไปแม้แต่นิดเดียว บอกเลยว่าเป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมประทับใจมาก
ใครที่ไม่เคยอ่านก็ขอแนะนำเลยครับ เหมาะมากสำหรับคนที่เคยขาดทุนหนักๆ เล่มนี้จะช่วยปลุกกำลังใจของคุณให้ลุกขึ้นสู้ได้ครับ
ขอแชร์เนื้อหาแบบสรุปตามความเข้าใจของผม เรียงตามลำดับชีวิต ดังนี้

ชัยชนะครั้งแรก
- อายุ 14 เริ่มเล่นหุ้นชนะครั้งแรกในร้านบัคเก็ต โดยใช้องค์ความรู้จากการสังเกตุราคาและวอลุ่ม(หรือที่เรียกเทป) ที่มักจะมีพฤติกรรมซ้ำๆ มาใช้ในการซื้อหรือช็อตหุ้นได้อย่างแม่นยำ(ชนะ 7 ใน 10 ครั้ง) จากการที่เขาสังเกตุได้ว่า ท้ายสุดไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ตัวเลขมักจะแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมาเสมอ ในแบบที่ซ้ำๆ จึงทำให้เกิดรูปแบบที่สามารถคาดเดาได้

เก่งเกินวัยจึงถูกกีดกัน
- อายุ 15 เก็บเงินได้ $1000 จากการเล่นหุ้น แต่เพราะความที่ร้านบัคเก็ตคล้ายกับบ่อน เจ้ามือไม่ชอบคนที่เล่นชนะตลอดอยู่แล้ว เขาจึงถูกกีดกันไม่ให้เล่นหุ้น หรือถ้าเข้าไปเล่นได้ก็จะถูกเอาเปรียบและโกง
- อายุ 20 เคยมีเงินเก็บมากกว่า $10,000 ต่อมามีเล่นเสียหลายครั้ง แต่โดยรวมยังกำไร

เดินทางสู่นิวยอร์ค
- อายุ 21 เดินทางเข้านิวยอร์คพร้อมมีเงินเหลือติดตัวเพียง $2,500 จากนั้นก็ขาดทุนหมดตัว เขาพบว่าวิธีการเทรดของเขาใช้ในร้านบัคเก็ตได้ผลกำไรมากกว่าการเทรดในตลาดหุ้นที่นิวยอร์ค
- อายุ 22 ทำเงินได้ $50,000 แต่ก็ขาดทุนหมดตัวอีกครั้งจากตลาดหุ้นนิวยอร์ค จึงเริ่มรู้สึกตัวและปรับตัวว่าแยกความต่างไม่ออกระหว่างการเก็งกำไรกับการพนันในหุ้น

ยกระดับการเทรด
อายุ 27 เปลี่ยนวิธีการเทรดจากการคิดจะเอากำไรแค่ 1-2 จุดเป็นเล่นตามแนวโน้มใหญ่ ซื้อแล้วถือจนกว่าตลาดจะเปลี่ยนแนวโน้ม เข้าใจการเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวจะเป็นไปในทางเดียวกับแนวโน้มใหญ่ เริ่มศึกษาพื้นฐานและการเหวี่ยงของราคาจากสภาวะตลาดโดยรวม เขามองภาพใหญ่ขึ้นโดยดูทิศทางตลาดมากกว่าการดูหุ้นเป็นรายตัว ถือว่าเป็นการยกระดับการเทรดไปอีกขั้น

ชอร์ตหุ้นจนตลาดพัง
เริ่มมีชื่อเสียงจากการชอร์ตหุ้น ในปี 1907 ตลาดวิกฤติอย่างหนัก เขาทำกำไรได้อย่างมากมายจากการชอร์ตหุ้นในช่วงนี้ จนธนาคารต้องมาขอร้องให้หยุด

กำไรฝ้าย
เริ่มเข้ามาเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะมองว่าระยะยาวแล้วมันจะเกี่ยวข้องกับ อุปสงค์ และอุปทาน เท่านั้น เริ่มต้นด้วยการเทรดฝ้าย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก จากระบบการเทรดแบบใหม่ที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อทดแทนที่การเล่นแบบการพนัน นั่นคือการซื้อถัวเฉลี่ยขาขึ้น ทุ่มเมื่อถูกทาง และรีบตัดขาดทุนเมื่อรู้ว่าผิดทาง ตอนนี้เขาโด่งดังมากๆ

ขาดทุนเพราะเชื่อเพื่อน
จากนั้นเขาก็ขาดทุนอย่างหนัก เพราะไม่เชื่อในระบบเทรดของตัวเอง ไปหลงเชื่อคารมโน้มน้าวใจจากคนที่เขาชื่นชม ทำให้ทุ่มซื้อฝ้ายอย่างหน้ามืดตามัว แม้จะผิดทางเขาก็ยังดันทุรังซื้อเพื่อพยุงราคา แม้จะได้กำไรจากข้าวสาลี แต่กลับขายออกเพื่อเอาเงินมาซื้อฝ้าย (ในบันทึกบอกว่าตอนนั้นสุขภาพเขาเริ่มแย่อีกด้วย) สุดท้ายยอมขายขาดทุน โดยเหลือเงินอยู่ไม่กี่แสน


หมดตัวอีกครั้งหนำซ้ำเป็นหนี้หลักล้าน
เพราะความที่มีปัญหาสุขภาพ และการใช้จ่ายที่ฟุ้งเฟ้อ ทำให้มันมีผลต่อการเทรดของเขา ที่ทำไปแบบคนร้อนเงิน พอขาดทุนก็รีบเอาคืนเพราะเชื่อว่าในที่สุดตลาดหุ้นต้องทำกำไรให้เขาในท้ายที่สุด ส่งผลให้เขาขาดทุนอย่างต่อเนื่องกระทั่งหมดตัว แถมยังติดหนี้โบรคเกอร์ และเพื่อนอีกเป็นล้านเหรียญ ทำให้เขาหดหู่มาก

ไม่ยอมแพ้
เริ่มกลับมาเทรดใหม่โดยใช้เงินน้อยๆ จากเครดิตของบริษัทเล็กๆที่ยังเชื่อมั่นในชื่อเสียงของเขา เขามีความมุ่งมั่นที่จะทำเงินเพื่อเอาไปคืนเจ้าหนี้ให้ได้

คืนวงการด้วยการเป็นฉากบังหน้า
มีโบรกเกอร์ติดต่อเขาให้เข้าสูวงการอีกครั้ง โดยเสนอเงินให้เขาเทรด $25,000 ฟรีๆ เพื่อให้เป็นฉากบังหน้าการเทรดของคนในบริษัทที่เล่นหนักเหมือนกัน พอได้เงินนั้นไปเทรดเขาก็ทำกำไรได้ในทันทีจนมีเงินคืน เริ่มมีความมั่นใจ แต่ก็ถูกทำลายลงไปอีกเพราะโบรกเกอร์ที่ให้เงินเขาเริ่มมีการจำกัดอิระในการเทรดแถมบังคับให้ซื้อขายหุ้นที่ขัดแย้งกับระบบเทรด เขาเลยตัดสินใจออกไปเทรดที่อื่นแต่ก็ยังขาดทุน ในตอนนี้นี่เองที่เขาหมดกำลังใจในการเทรดเป็นครั้งแรกในชีวิต

ทบทวนตัวเองพบทางสว่่าง
เริ่มกลับมาทบทวนตัวเองอย่างหนัก พบว่าปัญหาไม่ใช่วิธีการอ่านเทป แต่เป็นที่ความกระวนกระวายเกี่ยวกับหนี้ เพราะความที่เขาตั้งมั่นว่า "ต้องผ่านช่วงเวลาหมดตัวนี้ไปให้ได้" เขาเลยไปเจรจากับเจ้าหนี้รายใหญ่ให้ปลดหนี้ไปก่อน ก็ได้รับการตกลง

เป็นอิสระ
เมื่อเขาเป็นอิสระ ก็กลับไปเริ่มต้นเทรดใหม่ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 500 หุ้นเท่านั้น ซึ่งผลจากการที่เขาเตรียมตัวมาดี มีการศึกษาสภาวะตลาดทั่วไปและพยายามคิดเรื่องของจิตวิทยาของคนอื่นๆ และรู้จักตัวเองให้ดีก่อน เขาได้เรียนรู้ว่าความสำคัญของการอ่านเทปสำคัญเท่าๆกับการอ่านตัวเอง นอกจากจะศึกษาภาวะตลาดแล้ว เขายังมีการวิเคราะห์งบการเงินด้วย

กลับมากำไรอีกครั้ง
และเขาก็กลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง จนมีเงินทุนพอที่จะเทรดในระดับที่เหมาะสม เขาพบว่าก่อนหน้านี้เขาถูกรบกวนและเทรดผิดตลอด เพราะถูกเจ้าหนี้คอยรังควาน และขาดแคลนเงินทุน เมื่อไม่มีสิ่งรบกวน เขาก็เทรดได้ชนะตลอดทาง

ใช้หนี้ได้หมดในครั้งเดียว
ปี 1917 เขาสะสมกำไรจนมีเงินเหลือ ให้สามารถจ่ายหนี้คืนได้หมด ซึ่งเป็นการจ่ายคืนทั้งก้อนในครั้งเดียว ส่วนเงินที่เหลือ เขาเริ่มรู้จักเอาไปซื้อพันธบัตร ซื้อกองทุนให้เมียและลูก เพื่อเป็นหลักประกัน ว่าลูกเมียจะปลอดภัยจากเขา

ปั่นหุ้น
การกลับมาชนะตลาดในครั้งนี้ ทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นกว่าเดิมอีก จึงมีคนเข้ามาติดต่อให้เขาเป็นคนทำราคาหุ้นให้ และก็ยังมีคนอาศัยชื่อเสียงของเขาเพื่อเป็นเครื่องมือในการดึงรายย่อยมาซื้อหุ้นอีกด้วย
..................................................................
..................................................................
นิสัยของลิเวอร์มอร์
- ชอบและเก่งคณิตศาสตร์มาก มีความจำดี คิดคำนวนเลขได้เร็วกว่าคนอื่น
- ขี้สงสัย ช่างสังเกตุ สามารถหาความหมายของสิ่งต่างๆได้จากการเฝ้าสังเกตุ
- ชอบจดบันทึก ชอบพิสูจน์ความเชื่อ ว่าแนวคิดมีความแม่นยำเพียงใด สิ่งที่คาดการณ์ไว้ถูกต้องหรือไม่
- มีวิธีคิดเป็นวิทยาศาสตร์ เริ่มตั้งแต่สังเกตุ ตั้งทฤษฎี ตั้งสมมุติฐาน พิสูจน์ และสรุป
- ไม่เชื่อใครง่ายๆ ดูข้อมูลที่ตัวเองมีก่อน ค่อยตัดสินใจด้วยตัวเอง
- มีลางสังหรณ์?
- ขาดวินัย หลักการดี ถ้าทำตามแผนจะชนะ 7 ใน 10 ครั้ง แต่เพราะเลือกเทรดตามความพอใจ ไม่ทำตามแผน เลยขาดทุน
- พอผิดพลาดแล้วจะกลับมามองตัวเองก่อน ไม่เคยโต้แย้งกับข้อมูลที่เทปแสดงออกมา(ไม่โทษตลาด)
- ชอบทำอะไรๆ คิดด้วยตัวเอง ลงมือเอง ผิดก็โทษตัวเองก่อน
- คิดบวก มองความล้มเหลวและขาดทุนทุกครั้งเป็นบทเรียน และพยายามไม่ให้ตัวเองผิดซ้ำในแบบเดิมอีก
- ไฝ่รู้ ชอบอ่าน ชื่นชมคนเก่ง ชอบศึกษาวิธีคิดของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ
- ใจอ่อน มีสำนึกรู้คุณคน ทำให้ขาดทุนเพราะเพื่อนหลายครั้ง
- มีการศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักเก็งกำไร
- เชื่อว่าชีวิตคือการเรียนรู้
- ใจสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
..................................................................
..................................................................
เกร็ดและคำคมที่น่าสนใจ
++ การสังเกตุ ประสบการณ์ ความจำ และ ตัวเลข เป็นปัจจัยพื้นฐานที่นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จต้องมี นอกจากนักเก็งกำไรจะต้องสังเกตุให้แม่นยำเพียงอย่างเดียวแต่ต้องจำได้ตลอดเวลาถึงเรื่องที่เขาสังเกตุว่าเห็นอะไรบ้าง เขาไม่ควรเสี่ยงบนความไม่มีเหตุผลและความไม่แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามความมั่นใจส่วนตัวอาจจะเกิดจากความไม่มีเหตุผลต่างๆหรือความไม่มั่นคงที่เขาอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เขาต้องเสี่ยงบนความน่าจะเป็น นั่นคือ การลองวิเคราะห์คาดการณ์ความเป็นไปได้ของมัน เวลาหลายปีแห่งการเรียนรู้และฝึกฝน การศึกษาอย่างสม่ำเสมอ และการจำการเทรดของตัวเองได้จะทำให้เราสามารถตัดสินใจในการเทรดได้ทันที ถ้ามีเรื่องที่ไม่คาดคิดเข้ามา
++ ผมค้นพบว่าประสบการณ์เป็นเหมือนคนจ่ายเงินปันผลให้เราอย่างสม่ำเสมอในเกมการลงทุน และการสังเกตุก็เป็นการบอกข่าวที่ดีที่สุด พฤติกรรมของหุ้นเป็นสิ่งเดียวที่คุณต้องการ คุณต้องสังเกตุมัน จากนั้นประสบการณ์ก็จะแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะทำกำไรได้ยังไง
++ หน้าที่ของผมคือการเทรดที่ยึดติดกับข้อเท็จจริงมากกว่าไปคิดถึงเรื่องที่คนอื่นๆจะทำยังไงกับมัน
++ ผมมีความสนใจในทุกช่วงการลงทุนของผม และแน่นอนว่าผมเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นๆ เหมือนกับที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง
++ การศึกษาปัจจัยของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อโดยปราศจากเงื่อนไข หรือแม้กระทั่งเรื่องที่พวกเขายอมให้ตัวเองถูกจูงใจโดยความโลภหรือความไม่ใส่ใจคนอื่น ความกลัวและความหวังของคนเรายังคงเหมือนเดิมทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นการศึกษาเรื่องของจิตวิทยานักเก็งกำไรเป็นเรื่องที่มีค่าที่สุด
++ องค์ประกอบสำคัญของการประสบความสำเร็จในการเก็งกำไรมักจะขึ้นกับสมมุติฐานของคนที่จะทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยทำในอดีต
..................................................................
..................................................................
ประวัติส่วนตัวของเจสซี ลิเวอร์มอร์
ลิเวอร์มอร์เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 1877 ที่ชูส์เบอรี่ รัฐเมสซาชูเสส พ่อแม่เป็นชาวนาที่ยากจน พ่อเข้มงวดมาก แต่แม่ตามใจ
ตอนเด็กเขาผอมและขี้โรค เขาชอบอ่านหนังสือและจินตนาการ มีโลกส่วนตัว จึงทำให้มีกระบวนคิดที่เป็นเหตุเป็นผล
ที่โรงเรียนเขาเก่งคณิตศาสตร์มาก คิดเลขเร็วสุดๆตอบได้ไวก่อนใครเพื่อน หรือสามารถใช้วิธีที่แตกต่างเพื่อหาคำตอบได้ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเคยแข่งแก้โจทย์คณิตสุดซับซ้อนชนะครูมาแล้ว ทำให้เขาถูกยกให้ไปเรียนคณิตในระดับที่ยากกว่าหลักสูตรสำหรับอายุเท่าเขา เขามีสมองที่คำนวนได้ไว จำตัวเลขได้แม่น ถึงกับจัดรูปแบบตัวเลขได้ เรียกว่ามีสมองคอมพิวเตอร์ได้เลย
พออายุ 13 พ่อให้ออกจากโรงเรียนมาเป็นชาวนา แต่แม่ไม่เห็นด้วยจึงให้หนีไปบอสตัน ไปสร้างอนาคตด้วยตัวเอง เขามีการโปรแกรมชีวิตที่ต้องการเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องการเป็นแบบพ่อที่ทำงานหนัก แต่ก็ยังจน อยากประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงด้วยการทำงานด้วยสมอง
เขาเลยเลือกไปทำงานเป็นคนบอกราคาหุ้นในโบรคเกอร์แห่งหนึ่ง เขาชอบทุกอย่างเกี่ยวกับงาน มีความฝันว่าสักวันหนึ่งเขาจะสร้างระบบเทรดของตัวเองและเขาจะรวย ดังนั้นในระหว่างงานเขาชอบที่จะไปสอบถามพูดคุยกับโบรคเกอร์ ลูกค้า เพื่อหาข้อมูล เขารู้ว่าคนในออฟฟิสหาเงินจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ต่อมาชีวิตเขาก็จะเป็นแบบที่หนังสือบันทึกลับเซียนหุ้น ซึ่งผมจะไม่ขอเขียนซ้ำนะ ลองไปอ่านกันเองนะ

ช่วงปี 1922 ลิเวอร์มอร์ อายุ 45 ปีเขาได้สัมภาษณ์เกี่ยวกับวิธีคิด เทคนิคและประสบการณ์ในตลาดหุ้นกับนักข่าวชื่อ Edwin เพื่อตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ลงคอลัมน์รายสัปดาห์ในหนังสือพิมพ์ The Saturday Evening Post และบทความเหล่านั้นเองที่ภายหนังได้ถูกนำมารวมเล่มทำเป็นหนังสือที่โด่งดังชื่อ "Reminiscences of a Stock Operator" ซึ่งเป็นหนังสือบันทึกลับเซียนหุ้น เล่มที่ผมสรุปนี่แหละครับ

ช่วงปี 1925 -1928 เป็นปีทองของลิเวอร์มอร์ เพราะเขาทำกำไรทั้งจากตลาดหุ้นและตลาดสินค้าเกษตร ได้กำไรจำนวนมากหลายสิบล้านเหรียญ โดยเฉพาะในปี 1929 เขาทำการชอร์ตเซล หุ้นครั้งใหญ่จากการถล่มของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงวิกฤติการเงิน Great Depression หรือวิฤตฟองสบู่วอลสตรีท ทำให้เขาได้กำไรรอบนั้นมากกว่า 100 ล้านเหรียญ ชีวิตของลิเวอร์มอร์ หลังจากนั้นก็ยิ่งหรูหรา เขามีคฤหาสหลังใหญ่ มีเรือยอร์ช มีทุกสิ่งที่เศรษฐีจะมีได้ แต่ชีวิตเขาก็ใช่ว่าจะมีความสุข เพราะปัญหาจากลูก ที่ติดยาเสพติด ชอบปาร์ตี้ และจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ทำให้ตัวเขาเองเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิตในชีวิตครอบครัว และส่งผลให้เกิดความเครียด และกลายเป็นโรคซึมเศร้า

ประกอบกับวัย 56 ปีเขาได้รับการวินิฉัยโรคจากหมอว่าเป็นโรคความจำเสื่อมแบบเฉียบพลัน และมีโอกาสจะเป็นโรคสมองเสื่อม หลังจากนั้นไม่นาน Jesse Livermore ก็ประสบกับปัญหาการขาดทุนจากหุ้นอย่างหนักจนหมดตัว Jesse Livermore ถึงแม้จะขาดทุนอย่างหนักแต่ยังพอมีเงินจากกองทุนและผลตอบแทนจากพันธ์บัตรทำให้เขาสามารถ ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ไม่สามารถกลับมาสร้างผลกำไรได้เหมือนเดิม
การฆ่าตัวตาย
วันที่ 28 พฤษจิกายน 1940 ลิเวอร์มอร์ยิงตัวตายในโรงแรม ที่แมนฮัตตัน ตำรวจพบจดหมายลาตายในสมุดบันทึกของเขา ซึ่งต่อมาตำรวจได้เปิดเผยว่าเขาเขียนถึงภรรยา มีใจความว่า “My dear Nina: Can’t help it. Things have been bad with me. I am tired of fighting. Can’t carry on any longer. This is the only way out. I am unworthy of your love. I am a failure. I am truly sorry, but this is the only way out for me. Love Laurie”
เขาเหลือเงินลงทุนและทรัพย์สินเงินสด ณ วันที่เสียชีวิตกว่า 5 ล้านดอลล่าร์ มีการคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากเขาเป็นโรคซึมเศร้าในช่วงปีสุดท้าของการมีชีวิตของเขา

แถมคลิป "คัดหุ้นสไตล์ Jesse Livermore"


Tuesday, July 7, 2015

CAN SLIM คัดหุ้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม

โดย เซียว จับอิดนึ้ง facebook.com/zyoit

ซีเอ็ดมีขายครับ เข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ หนังสือ "CANSLIM คัดหุ้นยอดด้วยระบบชั้นเยี่ยม (How to make money in stocks)" เป็นเหมือนกับคัมภีร์การลงทุนที่นักลงทุนทั้งเก็งกำไรและเน้นคุณค่าแนะนำให้อ่านกันทุกคนครับ ที่ว่าแบบนี้เพราะคุณสามารถแยกเอาส่วนที่เป็นพื้นฐานไปใช้หาหุ้นเติบโต หุ้นพลิกฟื้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปดูเนื้อหาที่พูดถึงกราฟก็ได้ ส่วนสายกราฟนี่ก็ดูพาร์ทที่ว่าด้วยเทคนิคิลล้วนๆก็ไม่มีใครว่า
เพราะมันมีประโยชน์ให้กับทั้งสองสไตล์การลงทุนแบบนี้แหละ หนังสือนี้จึงขายดีมากๆทั่วโลก
ถ้าถามว่าผมชอบส่วนไหนมากที่สุด - ผมเป็นคนชอบดูรูปครับ เรื่องเกี่ยวกับกราฟจึงบทโปรดของผมเลย ที่สำคัญ - เล่มนี้มีรูปกราฟหุ้นให้ดูเยอะมาก และนักเขียนเขาขยันชี้จุดน่าสนใจให้เราเข้าไปละเลียดตามได้อย่างละเอียดละออ ซึ่งจุดนี้นี่เองมันช่วยให้เราเปิดมุมมองเกี่ยวกับสตอรี่บริษัทที่สือสารถึงเราผ่านกราฟได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องกันเลยทีเดียว ผมคิดว่าผมอวยมาเยอะแล้ว ต่อไปขอขยายความสิ่งที่ผมชื่นชมให้อ่านกันดีกว่า
หุ้นที่เขาเน้นในเล่มนี้คือ Superstocks ครับ ภาษาบ้านเราที่ผมใช้เรียกคือหุ้นหลายเด้ง ระดับสิบเด้งขึ้นไปเลยล่ะ
จุดขายของเล่มนี้คือคำว่า C-A-N-S-L-I-M วึ่งเป็นสูตรที่คุณโอนีลผู้เขียนเขาค้นพบด้วยตัวเองครับ มันเป็นอักษรย่อที่แตกไปอธิบายแยกย่อยได้ดังนี้
C” = “Current Quarterly Earnings Per Share” เขาหมายถึง กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ในไตรมาสล่าสุด ควรจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
A” = “Annual Earnings Growth” เขาหมายถึงอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อปี O’Neil ได้ให้ข้อสังเกตว่าตัวเลขการเติบโตของกำไรหุ้นสุทธิของหุ้นที่ดี ควรจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 15%ต่อปีในรอบ 5ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ในบางปีกำไรสุทธิอาจลดไปบ้าง แต่ประเด็นอยู่ที่ปีต่อไปต้องฟื้นตัวกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
N” = “New Products, New Management, New High” หมายถึงหุ้นที่ดีจะต้องออกสินค้าใหม่ มีการจัดระบบการบริหารงานใหม่ และราคาหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่ง O’Neil พบว่า ราคาหุ้นที่สูงขึ้นส่วนใหญ่มักจะเกิดจากปรับตัวของธุรกิจในบางด้าน เช่น มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และวิธีการจัดการธุรกิจสมัยใหม่ หลายคนอาจจะค้านว่า แล้วทำไม O’Neil ถึงมีคำว่า “New High” ด้วย จากการศึกษาของเขาพบว่า คนเราจะมีความเชื่อว่าให้ซื้อหุ้นที่ “ราคาต่ำ” แล้วขาย “ราคาสูง” ซึ่งไม่จริงเสมอไป เพราะหุ้นที่กำลังเติบโตจากการปรับตัวในบางด้านราคาหุ้นมักจะทำจุดสูงสุดใหม่ ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า ซื้อหุ้นที่ “ราคาสุง” และขายหุ้นที่ “ราคาสูงกว่า” เขายังมีคำแนะนำอีกว่า ช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการซื้อหุ้นคือ เมื่อหุ้นสามารุทะลุผ่านแนวต้านที่แข็งแกร่งในรอบ 2 – 15 เดือนไปได้
S” = “Shares Outstanding” หมายถึง จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด จากการศึกษาของ O’Neil พบว่า หุ้นที่มีปริมาณหมุนเวียนน้อยกว่า 25ล้านหุ้น ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นได้เร็ว แม้จะมีแรงซื้อไม่สูงมากนักก็ตาม ซึ่งเขากำลังจะบอกว่าให้เลือกซื้อหุ้นที่มีปริมาณหมุนเวียนในตลาดไม่มากจนเกินไป แต่ในข้อนี้บ้านเรายังไม่ได้มีการศึกษาอย่างจริงจัง
L” = “Leading Industry” คือควรจะลงทุนในหุ้นที่กำลังอยู่ในอุตสาหกรรมซึ่งเป็นที่นิยม O’Neil พบว่า ถ้าเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มนำตลาด จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้มากขึ้น และโดยธรรมชาติของหุ้นกลุ่มนำตลาด มักจะมีผลประกอบการที่ดีกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆด้วย
“I” = “Institutional Sponsorship” หมายถึง ให้จับตานักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นผู้ผลักดันหลักของตลาดหุ้น จากการศึกษาของ O’Neil พบว่า หุ้นที่มีรายชื่อของนักลงทุนสถาบันถืออยู่อย่างน้อย 3 – 10 ราย จะมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาเร็วกว่าหุ้นตัวอื่นๆ แต่เขาก็มีข้อสังเกตว่า หากหุ้นที่มีนักลงทุนสถาบันถือจำนวนมากเกินไป ก็อาจไม่ใช่สิ่งดี เพราะหุ้นตัวนั้นมีโอกาสถูกกระหน่ำขายออกมาอย่างรุนแรงได้
M” = “Market Direction” หมายความว่า ก่อนซื้อหุ้นให้ดูทิศทางตลาดก่อน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดใน 7ปัจจัย เพราะถึงหุ้นจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าตลาดหุ้นโดยรวมไม่ดีก็มีโอกาสขาดทุนได้ จากศึกษาของ O’Neil พบว่า ประมาณ 75% ของหุ้นทั้งหมดจะเคลื่อนไหวตามแนวโน้มตลาด เขาจึงสรุปว่า “อย่าฝืนทิศทางตลาด”
โดยสรุป ผู้เขียนต้องการจะสื่อว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคือ ช่วงที่หุ้นตัวนั้นเริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนสถาบัน และเป็นหุ้นที่ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก หรืออีกนัยหนึ่งให้ซื้อหุ้นที่นักลงทุนสถาบันชอบในช่วงที่ราคาหุ้นตกต่ำมากๆและกำลังจะอยู่ในช่วงวกกลับ
ถ้ายังไม่เก็ท ก็ขอให้ดูคลิปนี้เพิ่มเติมครับ



ส่วนภาคของเทคนิคอลนั้น (ความจริงในหนังสือจะเอาส่วนนี้ขึ้นก่อนนะ เพราะเปิดเล่มมาก็เจอกราฟเลย) เล่มนี้ให้กราฟเยอะมากครับ คือซื้อแค่มาดูกราฟยังคุ้มเลย เพราะคุณโอนีลเขาใส่รายละเอียด ชี้จุดที่น่าสนใจ อะไรทำให้กราฟวิ่ง มันพักตัวที่ EMA วอลุ่มการซื้อขายลดลงกว่าค่าเฉลี่ย ทรงกราฟมันทะลุฐาน รูปแบบกราฟ cup with handle ฯลฯ คือเขาจัดเต็มให้ผู้อ่านจริงๆ
ไฮไลท์ก็จะเน้นสิ่งที่ผู้เขียนค้นพบคือกราฟรูปแบบ Cup with Handle ซึ่งผมขอบอกว่าสำหรับผมแล้วมันเข้าใจยากสุดๆ คุณต้องเป็นนักจินตนาการขั้นเทพถึงจะมองออก เพราะในทางอุดมคติที่เขาสื่อคือภาพนี้ครับ

แต่พอกราฟจริงๆมันจะเป็นแบบนี้

ดังนั้นถ้าคุณจะเทพในการเทรดรูปแบบนี้ คุณจะเถรตรงไม่ได้ครับ ต้องจินตนาการให้มันเป็นให้ได้ (อิอิอิ อำกันขำๆนะ เอาเรื่องจริงมาล้อเล่น)
อยากได้คำอธิบายเพิ่ม ก็ขอให้ดูคลิปข้างล่างครับ


แค่นี้ยังไม่พอนะครับ คุณจะมีความรู้เพิ่มขึ้นในเรื่องของการหาหุ้นแข็งแกร่ง หุ้นที่นำตลาด ตอนตลาดแดงคนบ่นระงม มีหุ้นพวกนี้ยังซิ่งบวกสีเขียวแถมทำนิวไฮได้อย่างไม่สะทกสะท้าน เขาดูกันยังไง ผู้เขียนก็จะบอกท่านให้ดูเป็นครับ หลักการก็จะเป็นประมาณนี้

เห็นประโยชน์ของเล่มนี้หรือยังครับ นี่แค่เนื้อหาสรุปแบบสิ้นคิดนะครับ เนื้อหาจริง มี 500 กว่าหน้า ซื้อไปอ่านเถอะครับ รับรองคุ้มมากๆ
ซีเอ็ดมีขายครับ เข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ครับ

Update: ผมไปเจอคลิปที่เกี่ยวกันเลยอยากจะแชร์